จากกรณี พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สภ.บางแก้ว สั่งไล่ล่าตัวกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่น ที่ก่อเหตุรุมทำร้าย ร้อยตำรวจเอกชุดควบคุมฝูงชนกองกำกับการอารักขา ภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567

           ความคืบหน้า เมื่อช่วงสาย วันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 ได้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง พบกับ ร้อยตำรวจเอกชุดควบคุมฝูงชนกองกำกับการอารักขา ที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ได้เดินทางมาเอารถที่จอดทิ้งไว้ในปั้มน้ำมันดังกล่าว

           โดยภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถจับภาพ ร้อยตำรวจเอกชุดควบคุมฝูงชนกองกำกับการอารักขา (คนเจ็บ) กำลังยืนคุยอยู่กับ คนที่มารถจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน คน 4 คน ภายในปั้มน้ำมันดังกล่าว สักพักใหญ่ ก่อนที่ ผู้หญิงเสื้อแดงจะเดินแยกตัวออกมาคุยโทรศัพท์ ก่อนจะมีชาย 2 คน เดินตามมาทีหลัง ต่อมาได้มีรถยนต์เก๋ง สีดำ ขับเข้ามาจอดต่อท้ายรถคนเจ็บ ก่อนที่คนในรถ 2 คน จะเปิดประตูลงมาจากรถ และ 3 คนที่เดินแยกไปคุยก็เดินกลับมา สักพัก ได้มีรถยนต์กระบะ สีขาว ขับมาจอดบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนที่ชาย 3 คน หญิง 1 คน จะเดินลงจากรถกระบะตรงไปหา คนเจ็บ พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เหมือนจะแยกย้ายกัน แต่คนเจ็บก็ยังเดินคุยอยู่กับคนขับรถเก๋งสีดำ ก่อนที่คนเจ็บจะโดนรุมทำร้าย จนต้องวิ่งหนี กลุ่มผู้ก่อเหตุก็วิ่งไล่ตาม ก่อนไปสักพัก กลุ่มผู้ก่อเหตุก็เดินกลับมาขึ้นรถแล้วก็แยกย้ายกันออกไป



           จากการสอบถาม ร้อยตำรวจเอกชุดควบคุมฝูงชนกองกำกับการอารักขา (คนเจ็บ) เล่าว่า มีรถจอดอยู่คันหนึ่ง แล้วมีรถหรือรถพ่วงขับผ่านมา ตนขับเลี้ยวซ้ายเข้ามาจากซอยบางนาตราด ตอนนั้นตอนตีไฟเลี้ยวซ้ายแล้วเบรคกะว่าให้รถคันนั้นไปก่อนเพราะกลัวจะเฉี่ยวชนกัน หลังจากนั้นมีรถมาชนท้ายตน เลยนัดมาเคลียร์กันตรงที่เกิดเหตุ ตอนนั้นตนได้ยินเขาบอกว่าจะเรียกพี่มาตนก็ไม่ได้คิดอะไร และไม่ได้มีปากเสียงอะไรกัน ตนเลยไม่ทันได้ระวังตัว จากนั้นมีคนลงมาแล้วถามตนว่า “ จะไถเงินหรอ” ตอนนั้นตนได้โทรเรียกประกัน แต่เขาหาว่าตนจะไถเงินเด็ก ต้นเลยชี้รอยให้ดู แต่เขาบอกว่าไม่ใช่คิดว่าน่าจะเป็นที่พักเท้า ตนไม่ได้มีเบาะแสอะไรเลยทะเบียนรถที่ขับชนรถตน หลังจากนั้นตนได้เอามือถือไปถ่ายรถของคนที่ทำท่าเหมือนนักเลง เขาเข้ามาประชิดตัวตนก็ยกมือกัน เขาพูดกับตนว่า“ ถ้าถ่ายรูปไปเผยแพร่อาจจะโดนฟ้องได้” สักพักเขาเหมือนทำท่าไปหยิบของในรถ แล้วเขาก็เดินเข้ามาหา ตนเห็นท่าไม่ดีก็เลยถอย ไปเจอทางตันก็เลยวิ่งไปอีกฝั่ง เขาก็ยังวิ่งตามมาทำร้ายตอนนั้นตนล้มก็โดนรุม ตนก็พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แล้วหาคนช่วย มีผู้ชายประมาณ 6 คน ผู้หญิงประมาณ 4 คน รวมเป็น 10 คน ยืนล้อมตนหมดเลย ตอนที่รถชนหลัง แล้วเขาโทรหาหาพี่ จากนั้นประมาณ 10 นาที ไม่เกิน 15 นาที ตนมีบาดแผลถลอกตามร่างกายและมีโนที่คิ้ว และมีใต้ตาที่ม่วง เขาไม่มีอาวุธแต่เป็นการรุม ตอนนี้ตนแจ้งความไว้ที่ สภ.บางแก้ว



           ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยง ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สภ.บางแก้ว ได้เชิญกลุ่มผู้ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบปากคำ ซึ่งในตอนเกิดเหตุมีผู้ก่อเหตุ 10 คน แต่ที่มาให้สอบปากคำในวันนี้มีเพียง 6 คนเท่านั้น เบื้องต้นทั้ง 2 ฝ่ายไม่ขอเจรจายอมความใด ๆ ขอใช้สิทธิ์ในชั้นศาลทั้ง 2 ฝ่าย    โดยช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับหนึ่งในคนที่เป็นผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวและเกิดการเฉี่ยวชนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ข้อมูลว่า ช่วงก่อนเกิดอุบัติเหตุได้ขับรถเข้ามาในซอยวัดปลัดเปรียงตามปกติ ในช่วงก่อนที่จะถึงปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุตนได้มีการหักหลบรถจนไปเฉี่ยวกับรถนายตำรวจดังกล่าว จึงได้ลงมาพูดคุยกันซึ่งตำรวจนายนั้นบอกว่าตนเองเฉี่ยวกับให้รถเกิดรอยขูดบริเวณเหนือฝาถังน้ำมัน แต่เท่าที่ตนรู้สึกขณะที่รถเฉี่ยวกัน มีเพียงรองเท้าเท่านั้นที่ไปโดนรถคันดังกล่าว และรองเท้าก็ไม่ได้สูงขนาดที่จะไปขูดที่บริเวณเหนือฝาถังน้ำมันได้ หลังจากพูดคุยได้เพียงเท่านั้น ทางผู้ปกครองของเด็กก็มาห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์อีก

           ซึ่งหลังจากการสอบปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมง ทั้งผู้ปกครองและเด็กได้เดินออกมาจากห้องสืบสวน ผู้สื่อข่าวจึงเข้าไปสอบถามถึงเรื่องราวดังกล่าวว่าเป็นมาอย่างไร หรืออยากจะชี้แจ้งอะไรหรือไม่ ทางผู้ปกครองยืนยันว่า ไม่มีอะไรที่ต้องชี้แจง เพราะตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แถมตำรวจยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมีลักษณะของการข่มขู่ด้วย และตนไม่สะดวกที่จะให้ข่าวอะไรแล้ว ให้ไปว่ากันที่ศาล ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับรถออกไป   หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับนายตำรวจรายดังกล่าวอีกครั้ง โดยเจ้าตัวยืนยันว่าตนเองไม่มีการไปข่มขู่คู่กรณีอย่างแน่นอน ตนไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปข่มขู่ด้วย เพราะ ตนเป็นฝ่ายถูกเฉี่ยวชน และถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งมีหลักฐานปรากฏตามกล้องวงจรปิด ภายหลังการเฉี่ยวชนนั้นเราได้มีการนัดเจรจากันที่ปั๊มที่เกิดเหตุ ในช่วงที่พูดคุยฝั่งคู่กรณีมีลักษณะ วิธีการพูดคุยด้วยอารมณ์รุนแรง กล่าวหาว่าตนเองรีดทรัพย์ ในขณะเดียวกัน รถของคู่กรณีนั้นไม่มีป้ายทะเบียนทำให้ตนตัดสินใจนำมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปไว้เพื่อเป็นหลักฐาน แต่ดูเหมือนฝั่งคู่กรณีจะไม่พอใจ และบอกว่าจะเดินไปเอาของในรถ( ซึ่งในตอนนั้นไม่รู้ว่าของที่คู่กรณีไปเอา คืออะไรจึงเข้าใจว่าเป็นอาวุธ) หลังจากที่คู่กรณีเดินกลับมา ก็ได้มีการผลักเข้ามาที่หน้าอกของตน ตนจึงใช้แขนดันกลับไป สร้างความไม่พอใจให้คู่กรณีหลังจากนั้นจึงเกิดเหตุชุลมุนขึ้นตามภาพกล้องวงจรปิด



           เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับฝ่ายใด ต้องรอพยานหลักฐาน และการตรวจพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ทั้งในคดีจราจร และคดีทำร้ายร่างกายเนื่องจากทั้งสองฝ่ายให้ข้อมูลไม่ตรงกัน








***********************

นายนพดล ลมเย็น / นางสาวปรางค์ทิพย์ จินดามรกฎ จ.สมุทรปราการ

แสดงความคิดเห็น