Recent News/ข่าวล่าสุด

นักวิชาการเร่งสังคายนาระบบเตือนภัยพิบัติ “ด้วยเซลล์บอร์ดแคสต์” ที่ต้องใช้ได้จริงพร้อมตรวจสอบการใช้งบประมาณ เผย 3 รอยเลื่อนใหญ่ทำแผ่นดินไหวกระทบประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่อ่อนไหวขนาดยักษ์เพิ่มแรงเขย่า3-4 เท่า และลุยตรวจสอบอาคารอ่อนไหวในภาคเหนือ พร้อมเสริมความแข็งแกร่ง

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนาใน หัวข้อ “สังคายนาระบบเตือนภัย” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวให้กับสื่อมวลชน และประชาชน อันจะนำไปสู่การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้ และเตรียมความพร้อมให้ประชาชนในการรับมือกับแผ่นดินไหว โดยมี ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมเสวนาในครั้งนี้

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวจำนวนมาก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเมียนมา บางส่วนก็อยู่ในประเทศไทยแต่ค่อนข้างเล็ก และมีอัตราการเร่งตัวต่ำกว่าที่อยู่ในฝั่งเมียนมาที่แนวรอยต่อแผ่นเปลือกโลกระหว่างฝั่งอินเดีย และฝั่งไทย ตามแนวทะเลอันดามันไปถึงฝั่งตะวันตกของเมียนมา

​​แต่อย่างไรก็ตามจากการติดตามประเมินรอยเลื่อนที่จะผลกระทบต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีอยู่ 3 แหล่ง คือ 1. รอยเลื่อนใน จ.กาญจนบุรีสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.5 อันจะส่งผลกระทบถึงกรุงเทพฯ ได้ ก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วขนาด 5.9 อันส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นมีอาคารสูงไม่มาก 2. รอยเลื่อนสกาย ที่ผ่ากลางเมียนมาจากมัณฑะเลย์ เนปิดอว์ ย่างกุ้ง และ 3. รอยเลื่อนอาระกัน ซึ่งเป็นการมุดตัวของแผ่นเปลือกที่อยู่ฝั่งตะวันตกเมียนมา สามารถเกิดแผ่นดินไหวระดับเกิน8.5 โดยครั้งล่าสุดเกิดเมื่อประมาณ 260 ปีที่แล้ว

​​เมื่อดูจากสถิติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดห่างกันเฉลี่ยประมาณ 400-500 ปี ดังนั้นเมื่อเกิดมาแล้ว 260 ปีอาจจะมีการสะสมพลังงานแต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะระเบิดในเร็ววันนี้ หรืออาจจะเร็วขึ้นกว่า 400 ปี หรืออาจจะนาน กว่า700 ปีก็ได้

แต่เมื่อรอยเลื่อนนี้เกิดแผ่นดินไหวก็จะมีผลกระทบต่อกรุงเทพฯ เพราะด้วยสภาพดินมีลักษณะพิเศษแอ่งดินอ่อนขนาดยักษ์ที่สามารถขยายความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้ 3-4 เท่าตัว อย่างเช่นแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ก็เป็นคลื่นความถี่ต่ำ สั่นจังหวะช้าๆ ไม่ค่อยส่งผลต่ออาคารขนาดเล็ก เพราะจังหวะการโยกไม่ตรงกัน แต่อาคารสูงโยกตัวเข้าจังหวะกับพื้นดินในจังหวะช้าๆจังหวะตรงกันก็ขยายความรุนแรงส่งผลกระทบรุนแรงอาคารสูงมาก

​​ซึ่งผลการสำรวจตามหลังชี้ชัดว่าอาคารเล็กไม่มีผลกระทบเท่าไหร่ แต่อาคารสูงค่อนข้างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า และมีอาคารถล่มร้ายแรงคือ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศติดต่อมายังตนพร้อมให้ข้อมูลน่าสนใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแผ่นดินไหวที่ไกลที่สุดในโลกที่ทำให้อาคารที่สูงที่สุดถล่มนับเป็นสถิติโลกครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจนัก

อย่างไรก็ตามประเทศไทยก็มีกฎหมายกำหนดให้อาคารสูงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องออกแบบให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวตั้งแต่ปี2550 โดยกรมโยธาธิการ และผังเมือง เป็นผู้กำหนดเส้นกราฟการสั่นไหวรุนแรงที่ต้องรับให้ได้ ซึ่งความจริงโอกาสจะเกิดแผ่นดินไหวแม้จะมีน้อยมากเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องออกแบบเผื่อเอาไว้โดยแบ่ง กทม.เป็น 10 พื้นที่ที่สำคัญที่สุด คือ หมายเลข 5 ตั้งแต่บริเวณกรุงเทพฯ และฝั่งธนบุรี มีการตั้งสถานีวัดระดับความรุนแรงไว้ 5 จุด ซึ่งที่ได้ข้อมูลมาแล้ว 2 จุด คือ ที่สถาบันพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

​​หากคำนวณแล้วพบว่าแรงสั่นสะเทือนที่กรุงเทพฯ อยู่ในระดับ 1 ใน 3 ของแรงสั่นสะเทือนที่กำหนดเป็นมาตรการฐานก่อสร้างอาคารสูง เพื่อรองรับเหตุแผ่นดินไหว เน้นที่โครงสร้างเสาต้องไม่พัง กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กต้องไม่เสียหาย สลักต้องไม่แยกจากเสา ตัวพื้นต้องไม่แยกออกมา ส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างก็ไม่ได้เน้น เช่น กำแพงกั้นห้อง ฝ้า เพดาน ระบบท่อน้ำท่อประปาที่มีโอกาสได้รับความเสียหายได้ อย่างไรก็ตามต้องไปตรวจสอบดูอีกครั้งว่า มีการออกแบบดีจริงหรือไม่ และมีอะไรผิดพลาดหรือไม่


 ศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวอีกว่า เราควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรอยเลื่อนที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศ ด้วยจัดสรรงบประมาณมากกว่านี้ และควรเข้าไปตรวจสอบ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาคารที่มีความอ่อนไหวเสี่ยงได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอาคารเรียนหลายแห่งในจ.เชียงราย เพราะตามข้อมูลการเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาคารเดิมจะใช้งบประมาณ10-20% ของงบประมาณการก่อสร้างอาคารใหม่

​​ซึ่งที่ผ่านมาเรามีงานวิจัยทดลองติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนบนอาคารสูง โดยติดตั้งที่อาคารโรงพยาบาลเชียงใหม่ และโรงพยาบาลเชียงราย เพื่อประเมินความปลอดภัยของอาคาร และแจ้งต่อผู้ใช้อาคารในเวลาสั้นๆ 5 นาที ว่าสภาพอาคารเป็นอย่างไร ตำแหน่งไหนอันตราย และยังขยายการทดลองไปยังที่โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ในส่วนที่กรุงเทพฯ ก็เตรียมทดลองติดตั้งที่โรงพยาบาลกลาง ทั้งนี้หากมีหน่วยงานใดต้องการที่จะติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวทีมวิจัยของเรายินดีให้คำปรึกษา

​​ด้าน รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมานั้นทันทีที่เกิดแผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์ ด้วยความเร็วคลื่นที่เร็วกว่าเสียง และน้อยกว่าแสงมีเวลา 7 นาทีก่อนมาถึงกรุงเทพฯ แต่ว่าระบบการเตือนภัยของประเทศไทยล่าช้า และไม่ครอบคลุม เนื่องจากส่งผ่านระบบSMS ที่มีข้อจำกัดส่งได้เพียง 2 แสนเลขหมาย ทั้งๆที่หากเตือนได้เร็วจะช่วยลดความสูญเสียได้

​​ทั้งนี้เมื่อดูไทม์ไลน์ทันทีที่เกิดแผ่นดินไหว 13:20 น. ตามเวลาประเทศไทย อาคาร สตง.พังถล่มในเวลา13.26 -13.27 หรือประมาณ 7 นาที กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งศูนย์เตือนภัยประกาศในเว็บเตือนภัยเวลา 13.36 น. ซึ่งเป็นเวลาตึก สตง.ถล่ม และคนเสียชีวิตแล้ว และเรามี SMS เฉพาะหน่วยส่งผู้ว่าราชการจังหวัด สนง.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และผู้บริหารทั้งหมดเวลา 14.30 น. และแจ้งให้กับประชาชนทั่วไปโดยส่ง SMS ให้กับกสทช.เมื่อดูเวลาค่อนข้างล่าช้ามาจากจุดเริ่มต้น 13.36 ดังนั้นการทำงานแบบอนุกรมต่อกันไม่เวิร์ค ทันทีที่เกิดเหตุควรมีระบบแจ้งต่อประชาชนทันที

​​ดังนั้นต้องมีการปรับระบบซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ปรับปรุงทำเป็นระบบเซลล์บอร์ดแคสต์ ซึ่งจะส่งข้อความแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที หรือระดับวินาที โดยจะสามารถใช้ได้ในเดือน ก.ค. 2568 เหตุนี้จึงต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดในการจัดทำระบบเซลล์บอร์ดแคสต์ให้ออกมาใช้ได้จริง เพราะมีองคาพยพที่ทำเรื่องนี้หลายหน่วยงาน แต่ปัจจุบันก็คุยกันถึงการลดขั้นตอนการขออนุญาตผู้บริหาร เช่นนั้นในระหว่างนี้หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินให้ใช้ระบบการแจ้งผ่าน SMS ทันที โดยไม่ต้องผ่าน กสทช. รวมถึงช่องทางการแจ้งเตือนผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และโซเชียลมีเดียไปก่อน

​​ขณะที่นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเกิดภัยพิบัติมาหลายครั้ง และสภาผู้บริโภคฯ จึงส่งหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี2565 เพื่อขอตรวจสอบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ และเรียกร้องเกี่ยวกับระบบการเตือนภัย รวมถึงที่ผ่านมาประชาชนก็เรียกร้องให้มีระบบเซลล์บอร์ดแคสต์แล้ว เพราะเป็นเทคโนโลยีสามารถส่งสารผ่านเสาสัญญาณโทรคมนาคมให้กับผู้ที่อยู่บริเวณจุดเสี่ยงนั้นทั้งหมด

​​ซึ่งที่ผ่านมาสภาองค์กรผู้บริโภคเคยตามเรื่องนี้ และกระทุ้งไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ปี2566 หลังเกิดเหตุการณ์เยาวชนก่อเหตุกราดยิงที่สยามพารากอน และก็ได้รับการตอบกลับวันที่ 28 มิ.ย. 2567 ว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีการจัดทำโครงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารระบบเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้ของบอร์ดใหญ่ของกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2565

​​โดยได้รับงบประมาณเป็นรายจ่ายประจำปี2567 ผูกพันปีงบประมาณ2568 แต่จากแถลงของนายกฯ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องพบว่ามีการใช้งบประมาณไม่ได้เป็นไปตามเอกสารตัวนี้ แต่มีการใช้งบกองทุนยูโซ่ของกสทช. ที่เรียกเก็บจากใบอนุญาตประมาณ 1,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เรื่องนี้ต้องติดตามและสอบถามข้อเท็จจริงต่อไป และเรียกร้องทำระบบให้เร็วกว่านี้ และต้องทำระบบสั่งการที่มีความเป็นเอกภาพ เพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจนครอบคลุมคนมีปัญหาการได้ยินเสียง และผู้มีปัญหาสายตาด้วย

​​นอกจากนี้อย่าโยนภาระทั้งหมดมาที่ประชาชน โดยบอกว่าประชาชนต้องมีความรู้เท่าทันอย่างเดียว แน่นอนว่าตรงนี้ประชาชนก็ต้องทำความรู้เท่าทัน แต่รัฐก็ต้องมีการจัดทำชุดความรู้ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องสำหรับประชาชนด้วยถึงจะมาบอกว่าประชาชนต้องมีความรู้ความเท่าทัน แต่ตั้งคำถามว่ามีชุดข้อมูลเหล่านี้ออกมาหรือไม่

​​“เรื่องภัยพิบัติต่างๆ อย่าเอาการเมืองมาวาง เพราะอะไรที่เป็นตำแหน่งหน้าที่ที่วางไว้ก็ให้เป็นอำนาจ และหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบ เช่น การเปิดข้อมูลแจ้งเตือนภัยผิดพลาดก็ต้องขอโทษตรงนี้ ซึ่งไม่มีใครไปโจมตี เนื่องจากแจ้งเตือนดีกว่าไม่แจ้ง แต่ในสังคมวันนี้สอนให้คนกลัวจนไม่กล้าทำหน้าที่ในระบบราชการที่เป็นอยู่ขณะนี้แล้วปล่อยให้เป็นภาระของประชาชนเอาตัวรอดด้วยตัวเองโดยวาทกรรมว่าประชาชนต้องมีความรู้เพิ่มขึ้น และต้องมีความรู้เท่าทัน คำถามง่ายๆแล้วเราจะมีรัฐบาลและกลไกเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร”นายอิฐบูรณ์ กล่าว

​​ดร.คมสัน กล่าวว่า สำหรับการเกิดแผ่นดินไหวนอกจากการส่งสัญญาณ หรือส่งข้อมูลเพื่อให้ประชาชนระมัดระวังแล้วต้องมีระบบเรื่องของการจัดการที่ดี เพราะขบวนการหลังจากมีภัยต้องมีการดูแลจัดการความวิตกกังวลของคน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของภาครัฐ เช่น การจัดให้มีการตรวจสอบ เพราะทุกคนรู้สึกกังวล เนื่องจากไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมียนมาห่างจากประเทศไทยเยอะมากแล้วผลกระทบก็น้อยแต่ผลกระทบทางด้านความรู้สึกของคนมหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ มีการอพยพทุกอย่างช็อตไปหมด เช่น ขนส่งสาธารณะ

​​ถ้าหากเทียบกับญี่ปุ่นเขาจะมีการฝึกคนตั้งแต่เด็กๆในการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะประเทศญี่ปุ่นอยู่ในวงแหวนแห่งไฟเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง แต่เขารู้วิธีปฏิบัติตน และอยู่ได้ ส่วนประเทศไทยถ้ามีการเตือนภัยที่ดีแต่คนยังไม่รู้วิธีปฏิบัติก็จะทำให้ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นนอกจากตื่นตัวปรับปรุงระบบเตือนภัยแล้วจะต้องมีกระบวนการเรียนรู้และฝึกให้ทุกคนรับรู้และปฏิบัติตัวด้วย 

//

มณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2568

ที่สโมสรค่ายวิวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ พ.อ.อัครสิทธิ์ ปะกิระตา รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะ ถวายราชสดุดี ถวายพระพรชัยมงคล เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์  สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อเหล่าพสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลาที่ทรงรับราชการทรงเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า รวมถึงทรงพระราชทาน โครงการทหารพันธุ์ดี เพื่อให้กำลังพลของกองทัพ มีความรู้ความสามารถในด้านการเกษตรและสามารถถ่ายทอดให้กับชุมชน ที่อาศัยอยู่โดยรอบให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนสามารถผลิตพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเกษตรและเศรษฐกิจให้กับประเทศต่อไป
จากนั้น พ.อ.อัครสิทธิ์ ปะกิระตา รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย  สมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา  มณฑลทหารบกที่ 25  และจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจ ร่วมทำกิจกรรมปลูกต้นยางนา จำนวน 500 ต้น  ณ บริเวณป่าสาธารณประโยชน์ บ้านกระทม ตำบลเฉนียง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ซึ้งมีพื้นที่ป่ากว่า 300 ไร่ เพื่อให้เติบโตเป็นแหล่งผลิตอาหารทางธรรมชาติแก่ชุมชน โดยมี นักเรียน นักศึกษา ประชาชนในพื้นที่ ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างพร้อมเพรียงกัน








อัศววัฒน์ พัฒน์ทองกนก News24 จ.สุรินทร์ รายงาน
 

จังหวัดกาญจนบุรี ติดตามการดำเนินงานของส่วนราชการ ในการประชุมคณะกรมการจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ประจำเดือนมีนาคม 2568 พร้อมทั้งมอบโล่รางวัลประกาศเกียรติคุณ สำหรับอำเภอที่มีประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งมาที่สุด


 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมแควใหญ่ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานการประชุมคณะกรมการจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ประจำเดือนมีนาคม 2568 พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นางพรรณวิภา ปิยัมปุตระ และนายสิทธิวีร์ วรรณพฤกษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ และภาคเอกชนในจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมการประชุมฯ 


จังหวัดกาญจนบุรีจัดประชุมคณะกรมการจังหวัดกาญจนบุรี หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ประจำเดือนมีนาคม 2568 เพื่อสรุปผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ในการดำเนินงาน ที่ผ่านมา โดยก่อนการประชุมได้มี พิธีมอบโล่รางวัลประกาศเกียรติคุณ แก่ อำเภอที่ได้รับรางวัลผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มากที่สุด จำนวน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอท่ามะกา อำเภอพนมทวน และอำเภอทองผาภูมิ จากนั้นได้แนะนำหัวหน้าส่วนราชการที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งใหม่ จำนวน 5 ราย ได้แก่ พลตรี เฉลิมเกียรติ ทองศิริ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันตก นายสุเทพ วงศ์วัชรมงคล นายอำเภอพนมทวน นายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี นางณัฐภรณ์ วีระสุนทร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ภาคที่1 และนางสาวอัตตพร นุตระ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการคุ้มครองสิทธิคดีค้ามนุษย์จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมทั้งชมวีดีทัศน์สรุปภาพข่าวกิจกรรมตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรีและนโยบายสำคัญของรัฐบาลในรอบเดือน มีนาคม 2568


สำหรับในที่ประชุมได้ติดตามการดำเนินงานต่าง ๆ ทั้งในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หน่วยงาน และภาคเอกชน พร้อมทั้งกิจกรรมของส่วนราชการในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ การรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัดกาญจนบุรี ภาวะเศรษฐกิจการคลังจังหวัดกาญจนบุรี การคาดหมายลักษณะอากาศบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี รวมไปถึงการทอดผ้าป่ากองทุนพัฒนาเด็กชนบท ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่กำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 2 เมษายน 2568 ในเวลา 10.00 น. ณ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี การดำเนินงานตามนโยบายสำคัญ 5 ข้อ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกทั้งขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่น คำขออนุญาตภายในระยะเวลา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และการรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดกาญจนบุรี การสรุปสถิติการเกิดสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ช่วงเดือน เมษายน – มิถุนายน ปี 2557 – 2567 พร้อมทั้งการประชาสัมพันธ์ภารกิจกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงการหารือของภาคเอกชนอีกด้วย





     /////////////////////////////


ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา  ไหลวารินทร์


จังหวัดแพร่ "กระตุ้น" เศรษฐกิจช่วงสงกรานต์ จัดงาน“ขะน๋นหม้อห้อมแป้ ม่วนแต้ปี๋ใหม่เมือง”ส่งเสริมผ้าหม้อห้อมอัตลักษณ์แพร่

 


เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 31 มีนาคม 2568 ณ ห้องนคราพาวิลเลี่ยน ชั้น 2 โรงแรมแพร่

นครา อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานในการแถลงข่าวการจัดงาน“ขะน๋นหม้อห้อมแป้ ม่วนแต้ปี๋ใหม่เมือง” พร้อมด้วย นายวีรกานต์ บุญตัน พัฒนา

การจังหวัดแพร่ ,นายอดิศร ไชยบุญเรือง ประธานหอการค้าจังหวัดแพร่ คุณประภาพรรณ ศรีตรัย ครูช่างศิลปหัตถกรรม ปี 2555 ประเภทเครื่องทอ (ผ้าหม้อห้อม) ผู้ร่วมแถลงข่าวในวันนี้  

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ได้กล่าวว่า ปัจจุบันสถาน

การณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดแพร่กำลังมีทิศทางไปในทางเติบโตมีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยเกิดจากความร่วมมือจากหลายภาคส่วนและยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ในจังหวัดนำร่องที่เป็นจังหวัดน่าเที่ยว โดยช่วงสงกรานต์นี้จังหวัดแพร่ได้บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล โดยมีกิจกรรมต่างๆตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 21 เมษายน 2568 

    

จึงขอเชิญชวน พี่น้องประชา

ชนในจังหวัดแพร่และจังหวัดใกล้เคียง ได้มาเที่ยวงาน "ขะน๋นหม้อห้อมแป้ ม่วนแต้ปี๋ใหม่เมือง” ช่วยกันสนับสนุนผ้าหม้อห้อมและสินค้าจากผู้ประ

กอบการจังหวัดแพร่ ที่มาจำหน่ายภายในงานฯ ระหว่างวันที่ 9-13 เมษายน 2568 ตั้งแต่เวลา 15.30 – 20.00 น. ณ ลานวัฒนธรรมหน้าโรงเรียนบ้านทุ่งโฮ้ง (อภิวังวิทยาลัย) ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอ เมืองแพร่ จังหวัดแพร่ และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อมที่จำหน่ายตลอด 2 ฝั่งถนนตำบลทุ่งโฮ้ง และในพื้นที่จังหวัดแพร่ การจัดงานครั้งนี้จะสร้างโอกาสให้กับผู้ประ

กอบการ ร้านค้าและชุมชน ให้ผ่านพ้นวิกฤต สร้างงาน สร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เกิดการหมุนเวียนการใช้จ่ายในประเทศ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างมั่นคงยั่งยืน โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่างอาทิเช่น


1. พบกับสินค้าหม้อห้อมสุดสวย ราคาพิเศษ กว่า 30 บูธ  

2. หม้อห้อมตัวละ 100 บาท

3. ชมการเดินแบบผ้าหม้อห้อมแฟชั่น (ในวันเปิดงานฯ วันที่ 10 เมษายน) 4. นำเสื้อเก่ามาย้อมหม้อห้อมฟรี วันละ 50 ตัว

5. สอนวาดสีห้อม โดยครูชาย

6. สอนทำผ้าเช็ดหน้ามัดย้อม ฟรีวันละ 30 ผืน 7. สอนเพ้นท์ปูนปลาสเตอร์ ฟรีวันละ 10 ตัว

8. สอนทำพวงกุญแจผ้าหม้อห้อม ฟรีวันละ 30 ตัว 9. ฟังเพลงวงกาสะลอง และวงเยาวชนจากโรงเรียนต่างๆ และการแสดงอื่นๆทุกวัน 10. ซื้อสินค้าภายในงานและร้านค้าที่เข้าร่วมรายการ ลุ้นโชค ทุกวัน 

นอกจากนี้ยังมีจับแจกรางวัลเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกวัน จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกิจกรรม “ขะน๋นหม้อห้อมแป้ ม่วนแต้ปี๋ใหม่เมือง” ซึ่งการจัดงานครั้งนี้มีกิจกรรมที่หลายหลาย เป็นการนำอัตลักษณ์ ที่โดดเด่นของจังหวัดมาสร้างสรรค์ให้เกิดมูลค่าด้านการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยว การสร้างเอกลักษณ์ และการผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น สร้างรายได้ให้ประชาชน ชุมชน ของจังหวัดแพร่ 










ธีรพงษ์ ธงออน/แพร่


061-595-5297


เรียนแจ้งคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาขิกพรรคพลังไทยใหม่ทุกท่านทราบ ในวันสงกรานต์ขึ้นปีใหม่ไทยในปีนี้ ท่านหัวหน้าพรรคขอเชิญท่านใดที่สะดวกมาตุ้มโฮม รดน้ำ ดำหัวกัน ในวันที่ 15 เมษายน 2568 ขอเชิญมาที่บ้านท่านหัวหน้าพรรค เลขที่ 99 หมู่ที่6 ถนนบางเลน-กำแพงแสน ตำบลดอนข่อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หากท่านใดไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ไว้โอกาสต่อไปได้นะครับ

ในช่วงต้นเทศกาลนี้ ขอให้คณะกรรมการบริหารและสมาชิกพรรคพลังไทยใหม่  ได้เข้าร่วมงานประเพณีวันสงกรานต์ (ปีใหม่ไทย ) ในท้องถิ่นและชุมชน กับญาติพี่น้อง มวลชน เพื่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เป็นมรดกตกทอด แก่ลูกหลานและให้เกิดความนิยมชมชอบเป็นการสนับสนุนคะแนนเสียงของพรรคพลังไทยใหม่ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อส่งผลต่อการเลือกตั้งในโอกาสต่อไปครับ
นายอคราวุตช์ ศรีวงศ์ธานี รองผู้อำนวยการพรรคพลังไทยใหม่  รับคำสั่งหัวหน้าพรรคพลังไทยใหม่ นำเรียนเพื่อทราบแก่คณะกรรมการบริหารและสมาชิกพรรคทุกท่าน ขอขอบพระคุณครับ

 

“มนพร” เอาจริง! สั่งฟัน “กิจการร่วมค้าซีไอเอส” เตรียมยกเลิกสัญญาจ้างสร้างเทอร์มินัลใหม่ “สนามบินนราธิวาส” พร้อมขึ้นแบล็คลิสต์เป็นผู้ทิ้งงาน ห้ามรับงานภาครัฐ หลังพบสร้างช้ากว่าแผน 60.76% งานอืดรวม 631 วัน มอบ ทย. ลุยตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์ จี้ให้รายงานกลับมาภายใน 3 วัน ยันทุกโปรเจกต์ต้องผ่านมาตรฐาน-การตรวจเช็คจากวิศวกร

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ได้ดำเนินโครงการจ้างก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และสิ่งก่อสร้างประกอบอื่น ๆ พร้อมครุภัณฑ์อำนวยความสะดวก ท่าอากาศยานนราธิวาส ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส 1 แห่ง วงเงิน 639.89 ล้านบาท โดยมีผู้รับจ้าง คือ กิจการร่วมค้าซีไอเอส ประกอบด้วย บริษัท ไอเอสโอ เอนจิเนียริ่ง จำกัด และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัดนั้น
ทั้งนี้ โครงการฯ ดังกล่าว ซึ่งเริ่มสัญญาตั้งแต่รัฐบาลยุคที่แล้ว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 และได้สิ้นสุดสัญญาเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 แต่ด้วยเมื่อช่วงปลายปี 2567 ได้เกิดอุทกภัยในพื้นที่นราธิวาส ทำให้ได้รับการขยายอายุสัญญา
ผลงานของโครงการในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีความคืบหน้าเพียง 0.64%  ส่งผลให้ภาพรวมของโครงการล่าช้ากว่า 61.27% มีแนวโน้มว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญา  ดังนั้น ทย. จึงเชิญผู้รับจ้างเข้าประชุมเร่งรัดงานในวันที่ 4 มีนาคม 2568 ทย. โดยมีเงื่อนไขว่า หากภายใน 2 เดือน โครงการไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินงานเดือนละ 5% ทย.จะดำเนินการยกเลิกสัญญา และแจ้งชื่อเป็นผู้ทิ้งงาน เนื่องจากผิดสัญญาจ้าง ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบัน อยู่ในช่วงติดตามผลการเร่งรัด ซึ่งผู้รับจ้างทำผลงานเดือนที่ 1 (มีนาคม 2568) ได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาก โดยมีความคืบหน้าเพียง 0.51% ส่งผลให้ภาพรวมโครงการคืบหน้าเพียง 39.24% ล่าช้ากว่าแผน 60.76% หรือล่าช้ากว่า 631 วัน ซึ่ง ทย. ได้ส่งจดหมายเตือนและติดตามผลงานในเดือนที่ 2 ต่อไป หากผู้รับจ้างไม่สามรถดำเนินการเร่งรัดงานได้ตามที่กำหนด แสดงว่า ผู้รับจ้างไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้   ทย. จะดำเนินการยกเลิกสัญญา และแจ้งชื่อเป็นผู้ทิ้งงาน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถรับงานกับหน่วยงานรัฐได้อีก
นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้ ทย. แจ้งไปยังที่ปรึกษาควบคุมงาน ตรวจสอบมาตรฐานการก่อสร้าง มาตรฐานวัสดุ อุปกรณ์ในการก่อสร้างของผู้รับเหมาที่ได้ดำเนินการมาแล้วทั้งระบบอย่างละเอียด และให้รายงานทราบภายใน 3 วัน หากพบสิ่งผิดปกติ ให้รายงานและแก้ไขโดยเร่งด่วนด้วย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า กระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะในเรื่องวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง จะต้องได้มาตรฐานตามแบบแผนที่กำหนด รวมถึงอยู่ภายใต้การกำกับดูแล และผ่านตรวจเช็คจากวิศวกรผู้ควบคุมงานอย่างใกล้ชิด



 

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญกรมทางหลวง เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมทางหลวง ครบรอบ 113 ปี

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม  มอบหมายให้ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญกรมทางหลวง เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมทางหลวง ครบรอบ 113 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ กรมทางหลวง (ทล.) ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ
นางมนพร เจริญศรี กล่าวว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ผู้กล้าหาญ ทล. เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ทล. ในวันนี้ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทล. มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบการบริหารจัดการที่ดี มุ่งเน้นในการให้บริการประชาชนเป็นสำคัญ และตอบสนองความต้องการด้านคมนาคมขนส่งเพื่อให้ประชาชนได้รับความพึงพอใจสูงสุดในการเดินทาง
ในโอกาสนี้ ได้เชิญผู้เข้าร่วมพิธีรำลึกถึงวีรชนผู้กล้าหาญ ทล. ที่เสียสละเลือดเนื้อในการก่อสร้างทางในพื้นที่ทุรกันดาร และถูกผู้ก่อการร้ายคุกคาม โดยการยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญของวีรชนที่ปฏิบัติภารกิจเพื่อความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
ในพิธีช่วงเช้า นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีบวงสรวงพระวิษณุกรรมและตักบาตรพระสงฆ์ บริเวณหน้าอาคารพหลโยธิน ทล. โดยมีนายวิทยา ยาม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมงาน และมีนายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ทล. ให้การต้อนรับ

 

โครงการบรรพชาสามเณรหมู่ภาคฤดูร้อน ประจำปี 2568 ในการนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ปภาดา ถาวรเศรษฐ หัวหน้าก้าวใหม่เพื่อประชาชน ประธานในพิธี โดยมี พระครูวินิจสังฆการ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาสวัดดอนหญ้านาง ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ร่วมในพิธี

บรรพชาสามเณรหมู่ภาคฤดูร้อนเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นราชกุศล เนื่องในมหามงคลสมัยที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระชนม์พรรษา 70 พรรษา
และถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสีริพัชร มหาวัชรราชธิดา  ระหว่างวันที่ 2 - 11 เมษายน 2568